พื้นที่โฆษณา

พื้นที่โฆษณา
ทดลอง..อิอิ..*******ขอขอบคุณ..เวปบล็อกต้นแบบดีๆ..อย่าง Thai E-News ของคนรักประชาธิปไตย ที่เป็นส่วนหนึ่งทำให้เกิดเวปบล็อกใหม่ๆ รวมถึงบล็ิอกนี้ด้วย

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

คดีอากง sms คม ชัด ลึก 30-11-54

ภาพ "ยิ่งลักษณ์ชูนิ้วเลข 1" ช่วงหาเสียง ติดโผรูปแห่งปีของรอยเตอร์


(ที่มา ข่าวสดออนไลน์)

สำนักข่าวรอยเตอร์ เริ่มเผยแพร่รูปถ่ายภาพนิ่งที่คัดเลือกให้เป็นภาพข่าวแห่งปี 2011 แล้ว โดยมีทั้งภาพสถานการณ์เด่น และสารคดีข่าว จากทั่วทุกมุมโลก

ในส่วนของประเทศไทย ภาพที่คัดเลือกให้เป็น "IMAGES OF THE YEAR 2011" ได้แก่ ภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้นำพรรคเพื่อไทย ชูนิ้วเลขหนึ่ง ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ซึ่งลงเอยด้วยชัยชนะของพรรคเพื่อไทย และน.ส.ยิ่งลักษณ์ก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ ภาพนี้บันทึกโดย Damir Sagolj

ที่มา.. http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1322654782&grpid=03&catid&subcatid

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย เดินทางถึงกรุงฮานอยแล้ว เพื่อปฏิบัติภารกิจเยือนประเทศเวียดนามอย่างเป็นทางการ






นายกฯ เวียดนามนำ "ยิ่งลักษณ์" ตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ

** ข่าวสด 30 พ.ย.54 สำนักข่าวเอพีรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย เดินทางถึงกรุงฮานอยแล้ว เพื่อปฏิบัติภารกิจเยือนประเทศเวียดนามอย่างเป็นทางการ ในการนี้นายเหวียน เติน สุง นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ได้นำ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ ก่อนเปิดประชุมหารือข้อราชการร่วมกัน
นายกฯ ไทย หารือทวิภาคีกับนายกฯ เวียดนาม ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องต้องกันที่จะจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันของแต่ละกระทรวง เช่น ก.พาณิชย์ และ ก.เกษตรและสหกรณ์ จะทำงานร่วมกันในเรื่องข้าว และยังหารือถึงการเชื่อมโยงการคมนาคมในภูมิภาค ซึ่งไทยให้ความสำคัญในการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมกับประเทศเพื่อนบ้านในอนุภูมิภาค และการใช้ประโยชน์จากเส้นทางเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก ขณะที่เวียดนามพร้อมส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมเช่นกัน
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNeU1qWTFNRGt3TkE9PQ%3D%3D§ionid
** มติชน 30 พ.ย.54 นายกรัฐมนตรี เข้าพบปะหารือกับประธานาธิบดีเจืองเติ๋นซาง ขณะเดินทางเยือนประเทศเวียดนาม
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1322655906&grpid=02&catid&subcatid
** เว็ปรัฐบาลไทย : ภายหลังการหารือข้อราชการกับนายกรัฐมนตรีเวียดนามแล้ว ในเวลา 16.50 น. นายกรัฐมนตรีและคณะ ได้เดินทางไปเพื่อเข้าร่วมพิธีวางพวงมาลา ณ บริเวณหน้าสุสานอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ณ บริเวณหน้าสุสานอดีตประธานาธิบดี โฮจิมินห์ และเดินทางไปเข้าเยี่ยมคารวะ นายเจือง เติ๋นซาง ประธานาธิบดีเวียดนาม ณ ทำเนียบประธานาธิบดี ด้วย
(ขอบคุณภาพจาก REUTERS / AP / APF / GETTY IMAGES)

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เปิดใจจตุพร หลังกกต. ให้พ้นจากสส. 29-11-54



จตุพร โฟนอินเข้า สปริงนิวส์ หลัง กกต. มีมติ 4-1 ให้พ้นจากสมาชิกภาพการเป็น สส. 29-11-54

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ตอบโจทย์ tpbs ข้อเสนอนิติราษฏร์ ตอนที่1 28 11 54



ข้อเสนอทางวิชาการ - 5 ปีรัฐประหาร 1 ปี นิติราษฎร์

รัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ทำลายนิติรัฐ-ประชาธิปไตย และยังเป็นต้นเหตุของปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ คณะนิติราษฎร์ จึงเสนอให้มีการลบล้างผลพวงของรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ดังต่อไปนี้....

อ่านได้ หรือ ดาว์นโหลดได้ที่นี่...

http://www.enlightened-jurists.com/blog/44



the daily dose หม่อมปลื้ม 28-11-54

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กรณี นายกฯ ยิ่งลักษณ์ พูดภาษาอังกฤษ


โดย ณัฏฐ์ หงษ์ดิลกกุล นักศึกษาปริญญาเอก คณะเศรษฐศาสตร์, Simon Fraser University

เหมือนเช้าทุกๆ วัน เมื่อผมตื่นขึ้นมาเมื่อวานสิ่งแรกๆ ที่ผมจะทำก็คือเปิดเฟซบุคเพื่อดูความเคลื่อนไหวและข่าวสารต่างๆ ตลอดวันในเมืองไทย และประเด็นร้อน ที่เพื่อนบนเฟซบุคของผมพร้อมใจกันแชร์ ก็คือคลิปการแถลงข่าวร่วมระหว่างนายกฯ และ Hillary Clinton จาก youtube พร้อมกับคำโปรยต่างๆ นานา จับความได้ว่า "นายกฯ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เรื่อง น่าอับอายแทนประเทศไทย ฯลฯ"

เมื่อฟังคำวิจารณ์เหล่านี้ผมก็เกิด "คัน" ขึ้นมา นึกสนุกอยากทดสอบว่าถ้าให้คนต่างชาติฟังเขาจะฟังรู้เรื่องกันกันรึเปล่า จึงทดสอบโดยการแชร์คลิปการแถลงข่าวร่วมนั้น และตั้งคำโปรยเพื่อเชิญเพื่อนซึ่งไม่ใช่คนไทยให้มาดูคลิป แล้วตอบว่าเข้าใจที่นายกฯ แถลงรึไม่

ผมทิ้งแชร์เอาไว้หนึ่งวัน มีเพื่อนมาตอบทั้งหมด 6 คน เกือบทั้งหมดใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรก และมิได้มีเพื่อนเป็นคนไทยนอกจากผมเท่านั้น (นั้นหมายความว่าไม่ได้คุ้นเคยกับสำเนียงแบบไทยๆ) ทุกคนตอบเป็นทิศทางเดียวกันว่า "เข้าใจแถลงการณ์ที่นายกฯ พูดได้เป็นอย่างดี มีปัญหาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น" เช่น บางคนตอบว่าเข้าใจ 95% บางคนตอบว่าไม่เข้าใจเฉพาะช่วงต้นๆ ของสุนทรพจน์ แต่โดยรวมเข้าใจได้ดี

จากผลการทดสอบนี้ รวมกับข้อสังเกตของผมเอง ผมขอสรุปดังนี้ครับ........อ่านต่อ

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1321696966&grpid=01&catid=02&subcatid=0207

‘ยูเอ็น’ ย้ำอีกครั้ง ไทยต้องแก้กฎหมายหมิ่นฯ – พ.ร.บ. คอมพ์ฯ


‘ยูเอ็น’ ย้ำอีกครั้ง ไทยต้องแก้กฎหมายหมิ่นฯ – พ.ร.บ. คอมพ์ฯ
Tue, 2011-10-11 01:07

‘แฟรงค์ ลา รู’ ผู้ตรวจการพิเศษแห่งสหประชาชาติด้านเสรีภาพด้านการแสดงออก ออกแถลงการณ์จากกรุงเจนีวา เรียกร้องให้รัฐบาลไทยจัดเวทีสาธารณะเพื่อแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ –พ.ร.บ. คอมพ์ฯ พร้อมเสนอความร่วมมือกับ ‘คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย’ เพื่อแก้ไข กม. ดังกล่าวให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล

แฟรงค์ ลา รู
ภาพโดย Janwikifoto (CC BY-SA 3.0)

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2554 ‘แฟรงค์ ลา รู’ (Frank La Rue) ผู้ตรวจการพิเศษด้านเสรีภาพการแสดงออกแห่งสหประชาชาติ ส่งแถลงการณ์จากเจนีวา เรียกร้องให้รัฐบาลไทยแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และพ.ร.บ คอมพิวเตอร์ พร้อมเสนอตัวในการ ‘ร่วมมืออย่างสร้างสรรค์’ กับ ‘คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย’ เพื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ ให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล

แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นภาคีในอนุสัญญาสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมืองมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2539 (International Covenant on Civil and Political Rights – ICCPR) รัฐบาลไทยพึงมีพันธะผูกพันในการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยสากลที่ระบุไว้ในอนุสัญญาดังกล่าว ซึ่งรับรองสิทธิของบุคคลในการเสาะหา ได้รับ และเผยแพร่ข้อมูลและความคิดทุกประเภท

แฟรงค์ ลา รู กล่าวว่า ถึงแม้ว่าสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบ ทำให้จำเป็นต้องมีข้อจำกัดในบางสถานการณ์ที่จำเป็น เช่น การป้องกันสิทธิส่วนบุคคล และปกป้องความมั่นคงของชาติ แต่เขาชี้ว่า กฏหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มีความคลุมเครือและไม่ชัดเจน ประกอบกับบทลงโทษที่สูงเกินความเหมาะสม จึงจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล

ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิด้านเสรีภาพการแสดงออก ยังระบุว่า เขายินดีที่จะให้ความช่วยเหลือ โดย “มีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์กับรัฐบาลไทย และคณะกรรมการปฏิรูปกฏหมาย ผู้ซึ่งมีหน้าที่ทำการปฏิรูปกฎหมายไทยเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล”

ทางไพโรจน์ พลเพชร คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ปฏิเสธที่จะให้ความคิดเห็นใดๆ ต่อเรื่องนี้ โดยกล่าวว่ายังไม่ทราบเรื่อง จึงไม่สามารถให้ความคิดเห็นทั้งในนามส่วนตัวหรือคณะกรรมการปฏิรูปกฏหมายได้ นอกจากนี้ ยังกล่าวว่า ทางคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณากฎหมายหลายฉบับ ไม่ได้จำกัดแค่กฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งโดยเฉพาะ

ทั้งนี้ คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553 โดยมีศาสตราจารย์คณิต ณ นครเป็นประธาน และคณะกรรมการอีก 10 คนซึ่งมาจากการสรรหา ประกอบด้วย สุนีย์ ไชยรส, ไพโรจน์ พลเพชร, สมชาย หอมลออ เป็นต้น โดยมีหน้าที่ “เพื่อการปฏิรูปกฎหมายที่ดำเนินการเป็นอิสระเพื่อปรับปรุงและพัฒนากฎหมายของประเทศ รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ โดยต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายนั้นประกอบด้วย"

000

แถลงการณ์ฉบับเต็ม (แปลเป็นภาษาไทยโดยประชาไท)


ประเทศไทย/ เสรีภาพในการแสดงออก: ผู้เชี่ยวชาญแห่งสหประชาชาติแนะให้ไทย
แก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

เจนีวา – วันนี้ แฟรงค์ ลา รู ผู้ตรวจการพิเศษแห่งสหประชาชาติด้านเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพในการแสดงออก แนะให้รัฐบาลไทยแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ระบุว่าใครก็ตามที่ดูหมิ่น เหยียดหยาม อาฆาต มาดร้ายพระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการ จะได้รับบทลงโทษโดยการจำคุก 3 – 15 ปี

“ผมสนับสนุนให้ประเทศไทย จัดทำเวทีหารือสาธารณะที่มีส่วนร่วมจากประชาชนอย่างกว้างขวาง เพื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 เพื่อให้สอดคล้องกับข้อผูกพันทางหลักสิทธิมนุษยชนสากล” แฟรงค์ ลา รู กล่าว “การดำเนินคดีโดยตำรวจศาลในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ได้เพิ่มสูงขึ้นมากนี่ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขกฎหมายดังกล่าว”

ในขณะเดียวกัน พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ยังถูกใช้เป็นกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วยอีกทางหนึ่ง โดยกฎหมายดังกล่าวมีบทลงโทษจำคุกห้าปี สำหรับการแสดงออกในอินเตอร์เน็ตที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ หรือที่ถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง

“โทษการจำคุกที่ยาวนานและความคลุมเครือของการแสดงออกว่าอะไรที่เข้าข่ายการดูหมิ่น เหยียดหยาม หรือเป็นภัยต่อสถาบัน ทำให้เกิดการเซ็นเซอร์ตัวเองและจำกัดการถกเถียงในเรื่องที่เป็นประโยชน์สาธารณะ ซึ่งเป็นการทำลายสิทธิของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก” ลา รู กล่าว “มิหนำซ้ำ การที่เปิดโอกาสให้ใครก็ได้สามารถฟ้องตำรวจด้วยข้อหานี้ และการดำเนินคดีลับ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นปัญหาดังกล่าวชัดเจนขึ้น”

ผู้ตรวจการพิเศษได้เน้นว่า ประเทศไทยเป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมืองตั้งแต่ปีพ.ศ. 2539 ซึ่งมีพันธะผูกพันด้านสิทธิมนุษยชนตามกฎหมายตามกฎหมาย รวมถึงพันธะในการรับรองสิทธิของคนในการเสาะหา ได้รับ และเผยแพร่ข้อมูลและความคิดทุกประเภท

ลา รู เข้าใจว่าการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ย่อมมาพร้อมหน้าที่และความรับผิดชอบ และด้วยเหตุผลนี้ ภายใต้สถานการณ์พิเศษบางอย่าง สิทธินี้อาจจะถูกจำกัดได้ เช่น การปกป้องสิทธิของบุคคลและการปกป้องความมั่นคงของชาติ

อย่างไรก็ตาม ในการป้องกันการใช้ข้อยกเว้นดังกล่าวไปในทางละเมิดเกินระบุไว้ในกฎหมาย ข้อกำหนดใดๆ ที่จำกัดสิทธิของเสรีภาพในการแสดงออก ต้องกำหนดชัดเจนและไม่คลุมเครือว่าการแสดงออกแบบใดที่ถูกห้าม พร้อมทั้งพิสูจน์ให้ชัดว่าจำเป็นและสอดคล้องกับจุดประสงค์ดังกล่าว

“ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มิได้เข้าข่ายข้อกำหนดนั้น กฎหมายดังกล่าวมีความคลุมเครือและกว้างมาก ส่วนบทลงโทษที่รุนแรง ก็เกินความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับการปกป้องสถาบันกษัตริย์หรือความมั่นคงของชาติ” เขาตั้งข้อสังเกต

ผู้ตรวจการพิเศษ ยังแสดงความกังวลต่อ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และการใช้โดยกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ไอซีที) ที่ร่วมมือกับกองทัพไทยเพื่อปิดกั้นเว็บไซต์หลายพันแห่งที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันฯ

“ผมได้ยกข้อกังวลที่มีต่อกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และความไม่สอดคล้องของกฎหมายดังกล่าวกับข้อพันธะทางสิทธิมนุษยชนสากลของประเทศไทย ในการรายงานอาณัติของผม” ลา รู กล่าว โดยระบุว่าประเด็นนี้ถูกพูดถึงในระหว่างกระบวนการทบทวนสถานการณ์สิทธิยูพีอาร์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาในกรุงเจนีวา

“ดังนั้น ผมยินดีที่จะมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์กับรัฐบาลไทย และคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ผู้ซึ่งมีหน้าที่ทำการปฏิรูปกฎหมายไทยเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล” แฟรงค์ ลา รู ระบุ

ที่มา..... http://prachatai.com/journal/2011/10/37339
----------------------------------------------------------------------------------------
นานาชาติพร้อมใจแนะกลางเวทียูเอ็น ประเทศไทยควรแก้ไขกฎหมายหมิ่นฯ – พ.ร.บ. คอมพ์ฯ
Thu, 2011-10-06 23:02
เมื่อเวลา 19.30 วันที่ 5 ตุลาคม 2554 สภาสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้จัดเวทีการรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทย โดยมีตัวแทนจากรัฐบาลไทยรายงานสถานการณ์สิทธิฯ ต่อสหประชาชาติและตัวแทนจากรัฐบาลต่างๆ กว่า 50 ประเทศ ทั้งนี้ ทางข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ได้ทำการถ่ายทอดสดการรายงานดังกล่าว ณ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย ถนนเพลินจิต

การรายงานการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของแต่ละประเทศ หรือกระบวนการยูพีอาร์ เป็นกระบวนการที่เปิดโอกาสให้ประเทศต่างๆ ในสภาสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ตั้งคำถามต่อประเทศที่ถูกตรวจสอบ ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งใน 16 ประเทศของรอบเดือนตุลาคม 2554 ที่ต้องรายงานสถานการณ์สิทธิภายในประเทศต่อประชาคมนานาชาติ โดยใช้เวลารวมทั้งหมดสามชั่วโมง

ทางคณะผู้แทนไทย นำโดยเอกอัครราชทูตสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ พร้อมตัวแทนจากกระทรวงต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงแรงงาน ได้รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยโดยรวมว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีเสรีภาพสื่อมาก จะเห็นจากการที่สื่อไทยและต่างประเทศสามารถทำงานได้โดยปราศจากการแทรกแซงของรัฐบาล และกล่าวถึงเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในปีที่แล้วว่า รัฐบาลกำลังดำเนินการทำการเยียวยา และชดใช้ความเสียหายให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบตามความเหมาะสม

อังกฤษ-นอร์เวย์ ระบุ เคารพสถาบันได้ แต่อย่าจำกัดเสรีภาพการแสดงออก.....

อ่านต่อ...
http://prachatai.com/journal/2011/10/37269

เมืองไทยเรานี้แสนดีหนักหนาส่งSMS20ปีกดLikeเฟซบุ๊คคุก5ปี อ.นิติราษฎร์ฟันธงมั่วใหญ่แล้วไม่เข้าข่าย



ติ่งขอเบิ้ลเบาไปหาหนัก-จะทำหนังสือถึงรัฐบาลขอให้ปราบปรามเว็บไซต์ที่มีเนื้อหากระทบกระเทือนสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยวิธีการที่จะเสนอ เบาที่สุด คือให้ประสานงานไปยังรัฐบาลที่เว็บไซต์นั้นตั้งอยู่เพื่อขอให้ปิดเว็บไซต์ดังกล่าว แต่แรงที่สุด คือให้ปิดเว็บไซต์ยูทูปหรือเฟซบุ๊กไปเลย เหมือนอย่างที่รัฐบาลจีนเคยทำ -มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษก ปชป.

มัลลิกา' เตรียมยื่นหนังสือจี้นายกและ รมว.ไอซีที 28 พ.ย.นี้ เพื่อขอให้ปราบปรามเว็บหมิ่นฯ ชี้อาจใช้ยาแรงสุดคือปิดยูทูปหรือเฟซบุ๊กเหมือนอย่างที่รัฐบาลจีนทำ

มติชนออนไลน์รายงานว่าเมื่อเวลา 11.15 น. ที่พรรรคประชาธปัตย์ (ปชป.) น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษก ปชป.แถลงว่า ในวันที่ 28 พ.ย.นี้ ตนจะทำหนังสือถึงนายกฯ และ รมว.ไอซีที เพื่อขอให้ปราบปรามเว็บไซต์ที่มีเนื้อหากระทบกระเทือนสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยวิธีการที่ตนจะเสนอ เบาที่สุด คือให้ประสานงานไปยังรัฐบาลที่เว็บไซต์นั้นตั้งอยู่เพื่อขอให้ปิดเว็บไซต์ดังกล่าว แต่แรงที่สุด คือให้ปิดเว็บไซต์ยูทูปหรือเฟซบุ๊กไปเลย เหมือนอย่างที่รัฐบาลจีนเคยทำ ทั้งนี้ ปชป.ได้เปิดเฟซบุ๊ก Fight Bad Web พร้อมอีเมล์ Fightbadweb@gmail.com เพื่อรับเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับการทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2551 ใน 4 ฐานความผิด ได้แก่ 1.หมิ่นสถาบัน 2.ความมั่นคง 3.ลามกอนาจาร และ 4.การพนัน

"อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมทำร้าย ทำลาย จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์เวลานี้ได้ลามจากโซเชียลมีเดีย ไปตามร้านเสริมสวย ร้านข้าวต้ม สภากาแฟฯ ในต่างจังหวัด หากผบ.ตร.ต้องการทราบว่ามีร้านไหนบ้าง ดิฉันจะพาไปดูทั้งใน จ.พะเยา ลำปาง และแพร่" น.ส.มัลลิกากล่าว
----------------------------------------------------------------------------

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
26 พฤศจิกายน 2554

ดร.สาวตรี สุขศรี อาจารย์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมาชิกกลุ่มนิติราษฎร์ ได้ทวีตข้อความในทวิตเตอร์ @Sawatree กรณีICTเตือน การกด Share หรือ Like หรือ Comment ในเฟซบุ๊คทีี่มีเนื้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ว่า

"การ like หรือ comment เพจ หรือสเตตัสคนอื่น" ถือเป็นการ "เผยแพร่" หรือ "ส่งต่อ" ที่ผิดพรบ.คอมฯ ม. 14 (5) หรือไม่...มีคนพยายามอธิบายว่า "เมื่อไปกดชอบ หรือเมนท์แล้ว มันจะ feed ขึ้นมาในหน้า home ของเราเสมือนหนึ่งเป็นการเผยแพร่แล้ว ดังนั้น ขอให้ user พึงระวัง..."

โดยส่วนตัวเรา เรากลับเห็นว่า เพียงแค่กดชอบ หรือเมนท์ ไม่ถือเป็นการ "เผยแพร่" ตามกฎหมาย

เพราะอะไร ?...เพราะโดยสภาพแล้วการกดไลค์ ผู้กดมีเป้าเพียงแสดงความชื่นชอบเท่านั้น ไม่ได้มี "เจตนา" เผยแพร่ต่อไป....ประเด็นนี้มันอาจตัดได้ไม่มีองค์ประกอบภายใน คือ ไม่มี "เจตนาเผยแพร่"

อย่างไรก็ตาม ถ้าจะไถพิจารณาเลยไปว่ามี "เจตนาเล็งเห็นผล" จะได้หรือไม่ ..คำตอบก็คือ ..ถ้าจะไถพิจารณาเลยไปว่ามี "เจตนาเล็งเห็นผล" เพราะ ฟังค์ชั่นของเฟสบุ๊ก มีการ โชว์ "ว่าเราไปทำอะไรไว้" ที่ไหน แล้ว "เพื่อน ๆ" อาจเกิดความสนใจเลยจิ้มเข้าไปดูต่อ....ก็อาจต้องถกเถียงกันต่อไปอีก อย่างน้อย ๆ ก็ สองประเด็น คือ

๑. ฟังชั่นของเฟสบุ๊กเปลี่ยนแปลงแทบจะรายเดือน และทั้งผู้ใช้บริการสามารถตั้งเป็นฟังชั่นไม่แสดงผลได้...เช่นนี้อะไรจะเกิดขึ้น กับ

๒. ที่ผ่านมา ประเด็นเรื่องรู้หรือไม่รู้ว่ามีฟังค์ชั่นหรือไม่ มักไม่ถูกนำมาเป็นข้อพิจารณาว่า ผู้กระทำมีเจตนา ยกตัวอย่างเปรียบ การใช้บิททอเรนท์ ผู้โหลดบิท บางคนก็รู้ บางคนก็ไม่รู้ว่า ขณะที่ดาวน์โหลด ตัวเองกำลังเผยแพร่ (อัพโหลด) อยู่ด้วย แต่ที่ผ่านมา คนดาวน์โหลดมักไม่ถูกฟ้องในฐานะผู้เผยแพร่ ถ้าจะผิดก็เป็น "ผู้ใช้ของละเมิดลิขสิทธิ์" เท่านั้น

ประเด็นเพิ่มเติมอีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือ การทำให้เกิดการ "ลิงค์" ไป ถือเป็นการเผยแพร่เนื้อหาแล้วหรือ ?? (กม. ต่างประเทศ ยกตัวอย่าง เยอรมัน ไม่ถือเป็นการ "เผยแพร่" แต่เป็นการ "เปิดช่องทางการเข้าถึง" ตามกฎหมายปกติเยอรมันไม่ผิด...สุดท้าย เยอรมันต้องแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเกี่ยวกับความผิดทางอินเทอร์เน็ต ให้ "การเปิดช่องทางการเข้าถึง" เป็นความผิดด้วย ....ปัญหาก็คือ เรื่องแบบนี้ ประเทศไทยยังไปไม่ถึงขนาดนั้น)

ก่อนหน้านี้กระทรวงไอซีที (กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) โดย นาวาอากาศเอก อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ออกประกาศเตือนประชาชนชาวเน็ตทุกคน ถึงเรื่องเด่นประเด็นร้อนที่กำลังเกิดขึ้นบนเว็บเครือข่ายสังคมออนไลน์หรือ Facebook ในช่วงนี้ คือ การโพสต์เนื้อหา(ข้อความ/รูปภาพ) ที่หมิ่นสถานบันฯ โดยขอความร่วมมือให้ทุกคนที่เห็นเนื้อหาดังกล่าว กรุณาอย่ากด Like, Share หรือ Comment ในเนื้อหานั้นเด็ดขาด เพราะยิ่งแต่จะเป็นการช่วยเผยแพร่ข้อความเหล่านั้นให้ออกไปสู่วงกว้างมากขึ้น (ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็นด่าทอ หรือต่อต้านก็ตาม) นอกจากนั้น นาวาอากาศเอก อนุดิษฐ์ ยังกล่าวต่ออีกว่า ผู้ที่ทำการ อย่ากด Like, Share, Comment เนื้อหาดังกล่าวนั้น ว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 โดยไม่รู้ตัว มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อีกด้วย

…ส่วนการกด Share หรือ Like หรือ Comment นั้น เป็นการกระทำที่มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 โดยที่ผู้กระทำอาจไม่รู้ตัว เนื่องจากเป็นการเผยแพร่ข้อมูลต่อในทางอ้อม กระทรวงไอซีที จึงขอให้ประชาชนที่หวังดีและต้องการปกป้องสถาบันปฏิบัติตามคำแนะนำ ของกระทรวงฯ

โดย หากพบเจอเว็บไซต์ไม่เหมาะสมขอให้แจ้งข้อมูลมาที่หมายเลข 1212 รวมทั้งหยุดการเข้าไปดูหน้าเว็บดังกล่าว และไม่บอกตและไม่บอกต่อ เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้ตรวจสอบผู้กระทำความผิดได้อย่างรวดเร็ว สำหรับวิธีปฏิบัติเมื่อพบเจอเว็บไซต์ที่เผยแพร่เนื้อหาไม่เหมาะสมนั้น สิ่งที่ควรกระทำ คือ ห้ามกด Share โดยเด็ดขาด…

ที่มา....http://thaienews.blogspot.com/2011/11/sms20like5.html

อากง sms คดีหมิ่น

ขอชื่นชม คุณปลื้ม...คุณกล้าหาญ มากๆ ค่ะ...




เลขา "อภิสิทธิ์" ไม่แน่ใจว่าสังคมไทยจะแตกแยกเพราะคดี "อากง" ยันตนเองทำสิ่ง "ถูกต้อง"

เว็บล็อกไทยอีนิวส์รายงานว่า จากกรณีนายอำพล (สงวนนามสกุล) หรือ "อากง" ถูกศาลพิพากษาให้จำคุก 20 ปี ฐานกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพระราชบัญญัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาตรา 14 อนุ 2 และ 3 โดยข้อกล่าวหาว่าส่งเอสเอ็มเอสที่มีข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปยังโทรศัพท์มือถือของนายสมเกียรติครองวัฒนสุข ขณะดำรงตำแหน่งเลขานุการส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี

ล่าสุดนายสมเกียรติ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว มีเนื้อหาว่า

วันนี้เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยซึ่งเขาเรียนนิติศาสตร์ เคยทำงาน ITV และชื่นชมทักษิณ แต่เราไม่คุยกันมา 5 ปีแล้ว

เขาส่ง sms มาว่า "คุณ...ด้วยความเคารพ ผมว่าเรื่องนี้ (คงหมายถึงเรื่องที่อากงส่ง sms หมิ่นสถาบันโดนศาลตัดสินติดคุก 20 ปี) อาจนำมาซึ่งความคิดขัดแย้งครั้งใหญ่กว่าที่เคยมีมานะ คุณยังพอแก้ไขอะไรได้มั้ย"

เห็นข้อความที่ส่งมาแล้วรู้สึกสงสารประเทศไทยที่คนเรียนจบกฎหมาย แต่มีความคิดแบบนี้

เข้าใจว่าเป็นห่วงไม่อยากเห็นความขัดแย้งในสังคม แต่ไม่เห็นถามถึงความรุนแรงของ sms ที่หมิ่นสถาบัน หรือไม่สนใจเหตุผลว่าทำไมถึงโดนติดคุกถึง 20 ปี ซึ่งเขาส่ง sms มา 4 ครั้ง ศาลก็นับเป็น 4 กระทงๆ ละ 5 ปี รวมเป็น 20 ปี นี่คือข้อเท็จจริง

ส่วนเรื่องที่เค้าติดคุก ผมก็ไม่ได้เป็นคนไปทำให้เขาติด ถ้าเขาไม่ได้ส่งจริงก็สามารถหาหลักฐานมาหักล้างได้ ผมเคยถูกศาลเรียกให้ไปเป็นพยานโจทก์ ผมก็แค่เล่าไปตามข้อเท็จจริง ว่ามีคนส่ง sms หมิ่นสถาบันแบบนี้ ไม่เคยรู้จักคนส่ง ไม่ทราบถึงเหตุผล แล้วผมก็ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องอะไรในคดีอีกเลย เป็นเรื่องของทางศาล

แน่นอนว่า คนเสื้อแดงก็พยายามจะนำคดีนี้มาใช้ประโยชน์ในการจุดประเด็นความขัดแย้ง ทั้งอ้างว่า อากงแก่ขนาดนี้ส่ง sms ไม่เป็นบ้าง คดีฆ่าคนตายยังติดคุกไม่ถึง 20 ปี ฯลฯ แล้วก็พยายามจุดชนวนไปถึงว่า ควรยกเลิก ม.112

ตกลงสังคมไทยไม่ได้อยู่กันด้วยเหตุผล ด้วยหลักฐาน และด้วยความถูกต้องแล้วหรือ

แต่ใครที่พยายามจะใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย แล้วก็ทำให้คนในสังคมกลัว เราก็ต้องยอมศิโรราบไปเสียหมดเลยหรือ

ผมไม่สามารถคาดเดาได้ว่า สังคมไทยจะขัดแย้งหรือแตกแยกกันครั้งใหญ่กว่าที่เคยมีมา โดยมีสาเหตุจากคดีนี้หรือเปล่า

แต่หากมันจะเกิดขึ้นจริง พวกเราก็น่าจะพึงสังวรณ์ได้ว่า ผมไม่ได้เป็นคนจุดชนวน แต่เพราะคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เคารพกฎหมาย และพยายามจะใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย

อะไรมันจะเกิดมันก็ต้องเกิดครับ ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเหตุผลและที่มาที่ไป เพียงแต่เราจะยอมรับความจริงกันได้หรือเปล่า และบ่อยครั้งที่ความจริงมักทำให้เราเจ็บปวด

ถ้า sms ที่ส่งมาเตือนผมเพื่อให้กลัวเหตุการณ์ความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต แล้วให้ผมไปบอกตำรวจหรือศาลว่า ผมแจ้งความเท็จ ทั้งๆ ที่มีหลักฐานที่ส่งมาอย่างชัดเจน โดยที่เรื่องการสืบสวนหาคนผิดไม่ใช่หน้าที่ผม ผมก็ไม่สามารถไปยับยั้งอะไรได้ ผมคงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้

ถ้าผมจะกลัว ก็กลัวที่ตัวเองจะไม่ทำในสิ่งที่ถูกต้องมากกว่า

ใครทำเช่นไร ก็ย่อมได้รับกรรมเช่นนั้น

และถ้าผมเลือกที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่ไม่ถูกใจใครหลายคนรวมถึงคุณ

แม้อาจจะเป็นเหตุให้คุณเลิกคบผมเป็นเพื่อน

ผมก็ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า

"ยังไงผมก็เลือกที่จะยืนอยู่ข้างความถูกต้อง แม้จะต้องเจ็บปวดกับสิ่งที่เลือก"

ที่มา...http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1322154657&grpid=01&catid&subcatid

-------------------------------------------------------------------------------------------
อ่านที่มาที่ไป ของคดี อากง ได้จากที่นี่ค่ะ....

รายงาน: เปิดคำแถลงปิดคดี ‘อากง SMS’ ต่อจิ๊กซอว์จากเบอร์ต้นทางถึงชายแก่ปลายทาง
Sat, 2011-11-26 00:57

http://www.prachatai.com/journal/2011/11/38032
-------------------------------------------------------------------------------------------

อานนท์ นำภา

ผมอ่านคำฟ้องฉบับล่าสุด (ฟ้องวันที่ ๒๕ พ.ย.๕๔ )
ที่พนักงานอัยการฟ้องคดีหมิ่นฯ จากเฟคบุ๊คแล้วเลือดมันสูบฉีดมากๆ
เป็นคดีแรกที่พนักงานอัยการได้แสดงทัศนคดิส่วนตน
โดยบรรยายฟ้องจนเกินเลยไปกว่าองค์ประกอบความผิด
ไม่ว่าท่านจะคิดเช่นไรก็หามีสิทธิที่ใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือ

ด้วยความไม่เคารพต่อพนักงานอัยการที่ยื่นฟ้อง !

" อนึ่ง จำเลยเป็นคนไทย อาศัยบนผืนแผ่นดินไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อชาติบ้านเมือง และพสกนิกร จำเลยนอกจากไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรเสมอมาแล้ว ยังบังอาจแสดงความอาฆาตมาดร้าย มุ่งล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เคารพสักการะของปวงชนชาวไทย เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติที่ประชาชนชาวไทยไม่อาจยอมรับได้ พฤติการณ์ของจำเลยไม่มีเหตุอันควรปราณีไม่ว่าในทางใด สมควรได้รับโทษสถานหนัก "

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

"นายกฯปู" สังคายนา รมต.เพื่อไทย เหตุ ครม.อ่อนประชาสัมพันธ์


เครดิต >>> Red Intelligence / Facebook

"นายกฯปู" สังคายนา รมต.เพื่อไทย เหตุ ครม.อ่อนประชาสัมพันธ์ สั่งเร่งตีปี๊บอวดผลงานให้ชาวบ้านทราบ สัปดาห์หน้าวางคิวตรวจการบ้าน รมต.รายกระทรวง นำร่องกระทรวงศึกษาฯ พร้อมแจ้งมีตัวชี้วัดประเมินผลงาน...

เมื่อ เวลา 14.45 น. วันที่ 25 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่บ้านพิษณุโลก เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา ว่า การประชุมครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ปรารภว่า การทำงานของแต่ละกระทรวงที่ทำกันมาอย่างต่อเนื่อง และมีภารกิจงานเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่มีข่าวเลย กลายเป็นเหมือนว่า รัฐมนตรีไม่มีผลงาน หรือไม่มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบ จึงได้สั่งกำชับให้รัฐมนตรีของพรรคทุกคน ได้ทำการชี้แจงให้ประชาชนและสาธารณชนได้รับทราบด้วย และสัปดาห์หน้านายกรัฐมนตรีจะนัดหารือกับรัฐมนตรีเป็นรายกระทรวงด้วย ในเบื้องต้นทราบว่าจะเป็นกระทรวงศึกษาธิการเป็นกระทรวงแรก นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้แจ้งให้รัฐมนตรีได้รับทราบว่า จะมีการนำตัวดัชนีชี้วัดผลการดำเนินงานหลัก หรือ KPI มาประเมินผลการทำงานของรัฐมนตรีเป็นรายกระทรวง

โฆษกประจำสำนักนายก รัฐมนตรี กล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรียังมีโครงการที่จะเริ่มโครงการตรวจราชการตามจังหวัดต่างๆ หรือเรียกได้ว่า "โครงการนายกฯ สัญจร" แต่ไม่ใช่ ครม.สัญจร ทั้งนี้ มีรัฐมนตรีบางคนเสนอให้เดินทางไปตรวจราชการที่ จ.ขอนแก่น หรือ จ.หนองบัวลำภู เป็นพื้นที่ที่ให้นายกฯ ไปตรวจราชการ แต่นายกฯ ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปที่จังหวัดใดและเมื่อไร แต่จะไปให้เร็วที่สุด และเมื่อไปพื้นที่ไหนจะเปิดโอกาสให้ ส.ส.และประชาชนในพื้นได้มีส่วนร่วม. / Sakura

http://www.thairath.co.th/content/pol/219178

ข่าวคราวเรื่องอากง SMS หรือ คุณอำพล ขอสงวนนามสกุล โดนตัดสินจำคุก 20 ปี


เครดิต >>> Red Intelligence / Favebook
ทวีตนี้แด่อากง SMS :Poppy
ประวิตร โรจนพฤกษ์
@PravitR

วันนี้ (24 พ.ย. 54) ข่าวคราวเรื่องอากง SMS หรือ คุณอำพล ขอสงวนนามสกุล (ที่ผมไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้ามาก่อน) โดยตัดสินจำคุก 20 ปี ภายใต้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือ กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 ทำให้ผมรู้สึกสลดใจมาก แต่แทนที่ผมจะหลบไปดูหนังเพื่อให้ลืมสภาพสังคมไทยยุคสองพันห้าร้อยกว่าปีหลังพุทธกาล ผมกลับตัดสินใจลุกขึ้นมาสื่อสารกับโลกภายนอกผ่านทางทวิตเตอร์ ต่อผู้ที่เห็นด้วย เห็นต่าง หรือมองไม่เห็นอะไรเลย จึงขอคัดมาบางส่วนเพื่อให้ผู้อ่านประชาไทลองพิจารณาดูว่า บ้านเมืองนี้สภาพเป็นจริงเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกเป็นอย่างไร

1. คิดว่าลูกหลานอากง SMS คงตาสว่างเลิกซาบซึ้งไป 7 ชั่วโคตร
2. คุณไม่สามารถทำให้คนมารักและเคารพผู้อื่นโดยการขู่ขังเขาได้
3. Big Bag ก็ไม่ต่างจาก ม.112 เท่าไหร่ คุณจะรู้สึกดีและซาบซึ้ง หากคุณอยู่ฝั่งที่ได้ประโยชน์ อีกฝั่งเป็นไงไม่สน
4. จะอีเกีย (IKEA) หรืออากง พวกคลั่งเจ้าก็ยังคงคลั่งได้เสมอต้นเสมอปลาย
5. พวกคลั่งเจ้าเคยถามตนเองไหมว่า การโยนคนเข้าคุกจะทำให้คน ‘รัก’ ในหลวงมากขึ้นได้อย่างไร
6. จะสอนคิดวิเคราะห์ไปได้ไกลแค่ไหน ในเมื่อสังคมบอกคุณว่า การคิดวิเคราะห์บางเรื่องเป็นอาชญากรรม
7. ผมพบว่า การถกเถียงเรื่องสถาบันฯ บนทวิตเตอร์ สะท้อนความเป็นจริงหลากมุมมอง ต่างจากภาพที่ถูกควบคุมโดยสื่อกระแสหลักอย่างสิ้นเชิง
8. หากคุณขอให้เขาเคารพสิทธิในความเป็นมนุษย์ของคนที่เห็นต่างไม่ได้ คุณจะขออะไรได้เล่า
9. เมื่อคุณห้ามไม่ให้คนคิดวิเคราะห์เรื่องอะไรบางอย่าง สังคมมันจะเติบโตด้วยสมองของตนเองได้อย่างไร
10. อากง SMS ติดคุก 20 ปี เป็นอีกสัญญาณที่บอกว่า คนไทยไม่ควรมีสิทธิแสดงความเห็นต่างเกี่ยวกับสถาบัน
11. ทุกคนในสังคมไทย ต้องรักและไม่ตั้งคำถามต่อสถาบันกษัตริย์หรือ?
12. ม.112 เป็นหัวข้อที่ “ละเอียดอ่อน” สำหรับผู้ที่ไม่มีความละเอียดอ่อนเรื่องความยุติธรรมและเสรีภาพในการแสดงออก
13. ส่ง SMS หยาบๆ สี่ครั้ง โดนคุก 20 ปี ประเทศนี้เขาคำนวณความยุติธรรมกันอย่างไร
14. ผมไม่รู้จักอากง SMS แต่ไม่ว่า อากงหรือากู๋ ไม่มีใครสมควรต้องติดคุกเพราะการใช้โทรศัพท์มือถือ
15. ที่ต้องมาทวีตเรื่อง ม.112 เพราะสื่อกระแสหลักมักไม่กล้าวิเคราะห์ ลองถามอดีตอดีตนายกสมาคมนักข่าวฯ @Prasong_Lert ดูสิครับ
16. จงมั่นใจว่า สุดท้าย ความเงียบที่ยัดเยียดให้ผู้เห็นต่าง จะนำมาซึ่งแสงสว่างทางปัญญาแก่ผู้อื่นอีกมากมาย
17. คุณทำให้เขาเงียบได้ แต่คุณทำให้เขาหยุดคิดไม่ได้
18. เรื่อง ม.112 คือการถกเถียง ต่อสู้ขั้นพื้นฐาน ว่ามนุษย์ ไม่ว่าจะรวย จน ไพร่ หรือเจ้า ควรได้สิทธิแสดงออกอย่างเท่าเทียมกันตามกฎหมายไหม
19. ทุกหนึ่งเสียงที่ถูกทำให้เงียบ จะปลุกคนอีกร้อยพันให้ “ตาสว่าง”
20. ขอเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายที่ถกเถียงเรื่องเจ้ากับ ม.112 ละเว้นการใช้คำหยาบ เหยียดหยาม และหันมาใช้เหตุผลมากขึ้น
21. ผมขอร้องให้ royalist เปิดใจให้กว้าง และมองให้เห็นว่า คนคิดเท่าทันสถาบันฯ มีอยู่มากในสังคม และควรพูดคุยกันอย่างสันติและสุภาพ
22. ผมขอร้องให้ผู้เห็นต่างเรื่องสถาบันฯ ละเว้นการด่าทอ และการใช้ข้อมูลที่พิสูจน์ไม่ได้ แล้วพยายามพูดคุยกับ royalist ด้วยเหตุผล
23. พวกคลั่งเจ้า อำนาจลดลงเยอะในทวิตเตอร์ เพราะพวกเขาไม่สามารถตะโกนกลบเสียงที่เห็นต่างได้
24. พอพวกคลั่งเจ้าบางคนโกรธ เขาจะหยุดใช้เหตุผล แล้วด่าพ่อล่อแม่ ผมสงสัยว่า ปกติเขาใช้เหตุผลหรือไม่
25. คุณยิ่งขัง ประชาชนเขายิ่งคิด
26. จะอยู่กันอย่างไร? คนกลุ่มหนึ่งบอก ต้องการพื้นที่เพื่อพูดเท่าทันสถาบันฯ คนอีกกลุ่มบอก จงเข้าตารางไป
27. Royalist เลิกหลอกตัวเองว่า คนไทย “ทุกคน” รักในหลวงเถอะครับ หากจงยอมรับและกล้าพูดว่า หากใครไม่รักในหลวง ควรติดตาราง
28. การโยนคนเข้าตารางเพียงเพราะคนคิดเท่าทันสถาบันฯ รังแต่จะทำให้คนตาสว่างมากขึ้น
29. เมื่อคุณกักขังคนที่เห็นต่างได้ คุณก็คงไม่ได้มองเขาเป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์กับการคิดแยกกันไม่ออก
30. เหตุผลของการทำให้คนเห็นต่างต้องเงียบและกลัวคือ การไม่ต้องการให้คนคิดเป็นเหตุเป็นผล
31. มีอะไรไม่ชอบมาพากลในสังคมหรือ คุณถึงอยากให้ผู้เห็นต่างต้องเงียบ
32. คุณขังกายคนได้ แต่ขังใจเขาไม่ได้
33. ประชาชนไม่ได้โง่ พวกเขาคิดเองได้ ถึงแม้บางคนจะถูกจองจำเพราะข้อหาคิด “ตรง” เกินไป
34. ทักษิณไปเรียนรู้เรื่องการป้องกันน้ำท่วมที่เกาหลีใต้ พวกคลั่งเจ้าควรไปเรียนรู้อะไรที่เกาหลีเหนือ
35. ท่านผู้นำเกาหลีเหนือคงทึ่ง ที่เมืองไทยจัดการกับผู้เห็นต่างได้อย่างรวบรัดดี
36. คนไทยจะไม่ตกเป็นเครื่องมือใคร หากมีข้อมูลโปร่งใส ถกในสาธารณะได้ โดยไม่ต้องติดตาราง
37. คุณอยากให้เด็กคิดเองเป็น แต่คุณบอกให้เขาจงเชื่อ และยัดเยียดข้อมูลด้านเดียวให้ตลอดทุกๆ วัน
38. อย่าไปหวังว่า คนจำนวนมากจะคิดเป็น หากไม่สามารถคิดเป็นเหตุเป็นผลเรื่องสถาบันฯอย่างเปิดเผยได้
39. หรือเอาเข้าจริง เขาไม่ต้องการความรัก หากอยากสร้างความกลัว
40. ฝรั่งถาม: ทวีตเป็นชั่วโมงซ้ำๆ เรื่อง ม. 112 ได้อย่างไร?
ผมถามกลับ: คุณทนฟังข้อมูลด้านเดียวเรื่องสถาบันฯ ทุกๆ วันผ่านทุกสื่อได้อย่างไร?
41. ฝรั่งที่ถามผมเรื่องทวีตเยอะๆ เรื่องม.112 อึ้ง และตอบไม่ได้ เมื่อผมถามกลับว่า ทนฟังข้อมูลประจบเจ้าผ่านสื่อทุกวันได้ไง
42. อากงโดน 20 ปี หากใครจะพูดเรื่องปัญหา ม.112 ไปอีก 20 ปีก็ไม่เห็นแปลก

ปล. หลังจากที่ผมทวีตไปได้หลายชั่วโมง ก็มีผู้ใช้ทวิตเตอร์คนนึงบอกให้ผมไปกินยานอนหลับแล้วตายซะ (เขาใช้คำว่า “แดกยานอนหลับ แล้วไปตายซะ”) แถมบอกด้วยว่า จะคอยสาปแช่งให้พ่อผมซึ่งเขาเรียกว่าควายให้ตายเร็วๆ วันละสามเวลา ซึ่งผมก็ทวีตบอกอีกคนหนึ่งว่า นี่แหละครับ ผลของสังคมที่ถูกยัดเยียด ห้ามไม่ให้ใช้เหตุผล

พอตกเย็น ผู้ใช้ทวิตเตอร์อีกคนหนึ่งชื่อ คำนูณ สิทธิสมาน ผู้เป็น ultra-royalist ตัวพ่อ ตัดสินใจมาติดตามบัญชีทวิตเตอร์ผม ผมจึงทวีตไปว่า ประตูมีหู ทวิตเตอร์มีตา
ส่วนตาใครจะสว่างหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ที่มา http://www.prachatai3.info/journal/2011/11/38020

"อภิสิทธิ์" เคยโพสต์ในเฟซบุ๊ก "ผมจะไม่นิรโทษกรรมให้ตัวเอง"!?


เครดิต >>> Nipaporn Freedom / Facebook

"อภิสิทธิ์" เคยโพสต์ในเฟซบุ๊ก "ผมจะไม่นิรโทษกรรมให้ตัวเอง"!?

ข่าวสด 25 พ.ย.54 ไม่นิรโทษให้ตัวเอง ผ่านมาแค่ 3 เดือน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับคนเสื้อแดง เดินหน้าทวงความยุติธรรมให้ 91 ศพจนรุกคืบ เทียบไม่ได้เลยกับรัฐบาลก่อนที่ทำคดีกันเป็นปีๆ แต่ไม่มีอะไรคืบ!? รัฐบาลนี้มอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ เร่งรัดตำรวจทำสำนวนคดีเจ้าหน้าที่รัฐฆ่า 16 ศพลุล่วงไปไกลโข สรุปสำนวนได้แล้ว 1 คดี อีก 2 คดี (นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพญี่ปุ่น กับ จนท.เขาดิน) ก็ใกล้สรุปสำนวนในเร็ววันนี้

ไคลแมกซ์ของคดีอยู่ตรงที่ดีเอสไอเคยสรุปไว้ว่า "น่าเชื่อว่าการตายเกิดจากฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ" สอดคล้องกับคำให้การของพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด หรือ เสธ.ไก่อู และนายทหารหลายคน โดยเฉพาะ เสธ.ไก่อู อดีตโฆษก ศอฉ.ระบุว่า ทหารทำตามคำสั่ง ศอฉ. ซึ่งมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็น ผอ. และ ศอฉ.ก็เกิดขึ้นจากคำสั่งของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ในขณะนั้น

พูดกันแบบเข้าใจง่ายๆ คือทหารทำตามคำสั่งนายสุเทพและนายอภิสิทธิ์

คำให้การของเสธ.ไก่อูทำให้คดีเดินหน้ารวดเร็วขึ้น ถึงขนาด ร.ต.อ.เฉลิมประกาศเปรี้ยง "เมื่อตำรวจสอบ อัยการก็ยื่นต่อศาลไต่สวน ถึงวันนั้นก็รู้เลยว่าใครสั่ง พวกสั่งฆ่า 91 ศพกังวลมาก ผมว่าวันนี้กินไม่ได้ นอนไม่หลับ คดีนี้มันกรรมทันตาจริงๆ"

ฟากอำนาจเก่าก็ดาหน้าโต้พัลวัน นายอภิสิทธิ์ถึงกับระบุว่า มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงในสำนวน ให้ข่าวที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด นายเทพไท เสนพงศ์ ก็เต้นผาง โวยลั่นรัฐบาลยัดเยียดความผิดให้มาร์ค-เทือกบ้าง หวังกลบข่าวพ.ร.ฎ. อภัยโทษ เรื่องยัดเยียดความผิดคงไม่ใช่ เพราะเป็นคำให้การของ เสธ.ไก่อูเอง

อีกทั้ง พ.ร.ฎ.อภัยโทษก็ชัดเจนแล้วว่า ไม่มีอะไรในกอไผ่ ก็ไม่เป็นไร เป็นสิทธิ์ที่รัฐบาลเก่าจะออกมาตอบโต้-ปฏิเสธ แต่หากคดี 91 ศพเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม มีการไต่สวนเปิดตัว"คนสั่ง"ขึ้นมาจริงๆ แล้ว

หวังว่านายอภิสิทธิ์ยังคงจำคำพูดของตัวเองได้ เพราะเคยโพสต์ในเฟซบุ๊ก "จากใจอภิสิทธิ์ ถึงคนไทยทั้งประเทศ" เมื่อก่อนเลือกตั้งว่า "ผมจะไม่นิรโทษกรรมให้ตัวเอง"!?
(แฟ้มภาพ)

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd2Iyd3dNVEkxTVRFMU5BPT0%3D§ionid=TURNd05BPT0%3D&day=TWpBeE1TMHhNUzB5TlE9PQ%3D%3D

รวมข้อมูลความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เยียวยาจากภาครัฐ 2554




ผู้ประสบภัยน้ำท่วมต้องอ่าน....

รวมข้อมูลความช่วยเหลือ เยียวยาจากภาครัฐ 2554

ดูและ ดาว์นโหลดทั้งหมด ที่นี่ค่ะ...

http://spm.thaigov.go.th/multimedia/warapornc/Thaigov/1-11.pdf

“ซุปเปอร์เอ็กซ์เพรสฟลัดเวย์” 1 ใน 11 มาตรการแก้น้ำท่วม


“ซุปเปอร์เอ็กซ์เพรสฟลัดเวย์” 1 ใน 11 มาตรการแก้น้ำท่วม

รายการ Intelligence ประจำวันที่ 23 พ.ย. 2554

ศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ นำเสนอ 11 มาตรการ แก้ไขปัญหาน้ำท่วมหลายมิติ โดยชู “ซุปเปอร์เอ็กซ์เพรสฟลัดเวย์” โดยใช้แนวคลองชัยนาท ป่าสัก คลองระพีพัฒน์ คลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต ระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร โดยจะต้องมีการเวนคืนที่ดินริมคลองข้างละ 1 กิโลเมตร และสร้างถนนสูง 6 เมตรทั้งสองข้างทางเป็นมอเตอร์เวย์ พื้นที่นี้ไม่อนุญาตให้อยู่อาศัย แต่สามารถทำเป็นพื้นที่การเกษตรได้ แนวคิดนี้จะช่วยแบ่งเบาน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสัก เป็นการแก้ปัญหาน้ำท่วมในที่พื้นที่ลุ่มภาคกลางตั้งแต่จังหวัดชัยนาทลงมา รวมถึง กทม.ทั้งฝั่งตะวันออก และตะวันตก

แนวทางที่ถูกชูโรงขึ้นมาอีกแนวคิดหนึ่ง คือ "เมืองบริวาร" จะต้องมีการจำกัดการขยายตัวของ กทม. และสร้างเครือข่ายเมืองบริวารระยะทาง ไม่เกิน 100 กม. จากกรุงเทพเช่น สุพรรณบุรี สระบุรี ราชบุรี ฉะเชิงเทรา ถ้าดำเนินการตามแนวคิดนี้ไม่จำเป็นต้องย้ายเมืองหลวง

นอกจากนั้น ศ.ดร.ธนวัฒน์ ยังเสนอมาตรการอื่น ๆ อาทิ การวางแผนแม่บทควบคุมป้องกันน้ำท่วม ปรับปรุงระบบเตือนภัยพิบัติล่วงหน้า มาตรการจัดเก็บภาษีน้ำท่วม มาตรการการควบคุมการใช้ที่ดินและผังเมือง มาตรการการควบคุมการใช้น้ำบาดาล มาตรการกำหนดระยะเวลา
การเพาะปลูกในลุ่มน้ำอย่างเป็นระบบ มาตรการอนุรักษ์และปกป้องพื้นที่แก้มลิงธรรมชาติ พัฒนากฎหมายเกี่ยวกับการบริหารจัดการภัยพิบัติทั้งระบบ จัดตั้งหน่วยงานดูแลเรื่องภัยพิบัติ และส่งเสริมงานวิจัยอย่างเป็นระบบ

Produced by Voice TV
23 พฤศจิกายน 2554 เวลา 20:38 น.

ทิศทางเศรษฐกิจไทยหลังน้ำท่วม



ทิศทางเศรษฐกิจไทยหลังน้ำท่วม

รายการ Intelligence ประจำวันที่ 25 พ.ย. 2554

น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในไตรมาส4 อย่างหนัก ซึ่งเห็นได้จากการปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในปี 2554 จากหลายหน่วยงาน แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะฟื้นตัวขึ้นจากการฟื้นฟูประเทศ

อย่างไรก็ตามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่าสิ่งที่สำคัญคือการสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศโดยการประกาศมาตรการป้องกันน้ำท่วมอย่างชัดเจน รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ อีกทั้งวิกฤติที่เกิดขึ้น จะเป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทย ติดตามใน Intelligence


Produced by Voice TV
25 พฤศจิกายน 2554 เวลา 20:47 น.
-------------------------------------------------------------------------------------------

น้ำท่วมใหญ่กระทบเศรษฐกิจไทยหนัก

รายการ INTELLIGENCE ประจำวันที่ 22 พ.ย. 2554

มีการรวมตัวกันของผู้ประกอบการในกรุงเทพมหานครที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วม ที่ได้พยายามยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลแก้ไขสถานการณ์น้ำท่วมอย่างเบ็ดเสร็จและรวดเร็ว เพราะมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยอาจะได้รับความเสียหายสูงกว่า 1 ล้านล้านบาท

ประธานกลุ่มฯ ประเมินว่าหลังจากน้ำท่วม จะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 3 ปีกว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นขึ้นมา เพราะกำลังซื้อของประชาชนจะหดหาย ดังนั้นรัฐบาลจะต้องเยียวยา และจัดหาเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการในอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ ติดตามใน INTELLIGENCE

Produced by Voice TV
22 พฤศจิกายน 2554 เวลา 20:55 น.

3 เดือน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เร็วไปหวังอภิปราย


3 เดือน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เร็วไปหวังอภิปราย

การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล ในวันที่ 27 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งประธานสภาผู้เเทนสภาราษฎรกำหนดไว้ 1 วัน ก่อนนัดลงมติในวันรุ่งขึ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมผู้ที่ถูกฝ่ายค้านยื่นญัตติเพียงคนเดียวมั่นใจในการชี้เเจงต่อสภา ขณะที่ประเด็นหลักที่ฝ่ายค้านเตรียมจะอภิปรายมี 3 ประเด็น ซึ่งเกี่ยวกับปัญหาน้ำท่วม

ครบ 4 เดือนของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และครบรอบ 3 เดือนของการบริหารประเทศพอดีวันนี้ หลังมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไปเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 3 เดือนที่รัฐบาลต้องแก้ปัญหาที่ถูก เรียกมหาอทุภัย ถือเป็นงานหนักและสับซ้อนในเชิงการบริหาร แต่ฝ่ายค้านอย่างพรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ปล่อยให้ช่วงเวลาแบบนี้ผ่านไป จึงตัดสินใจยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในสมัยประชุมแรก ซึ่งถือผิดต่อหลักธรรมเนียมปฏิบัติ เพราะรัฐบาลเพิ่งเข้ามาบริหารประเทศ หากจะยื่นอภิปรายต้องเป็นการเกิดปรชุมสภาสามัญสมัยที่ 2 หรือ อีก 6 เดือนข้างหน้า

รวมทั้ง การเลือกอภิปรายเพียง พลตำรวจเอกประชา พหรมนอก รัฐมนตรรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะ ผู้อำนวยการ ศปภ. ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ในการบริหานงานของกระทรวงยุติธรรม แต่เป็นหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเฉพาะกิจดูแลน้ำท่วม เพราะหากจะอภิปรายเรื่องการบริหารงานควรจะยื่นอภิปรายนายกรัฐมนตรีมากกว่า

นั้นเพราะพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ต้องการสาระอะไรมาก เกี่ยวกับการอภิปราย นอกจากการลดความน่าเชื่อถือและอาจอภิปรายพาดพิงไปยังตัวนายกรัฐมนตรี เพราะแม้แต่พรรคร่วมฝ่ายค้าน ยังไม่เห็นด้วยนกับการอภิปรายครั้งนี้ ทำให้พรรคประชาธปัตย์ พรรคเดียวเท่านั้น ที่ยื่นญัตติ ด้วยเสียง153 เสียง จากเสียงฝ่ายค้าน ทั้งหมด 299 เสียง และหากผลการอภิปรายไม่ไว้วางใจในการลงมติ ฝ่ายค้านต้องใช้เสียงถึง 251 เสียง ซึ่งถือว่าเป็นไปได้ยาก

แต่รัฐบาลก็ไม่ประมาทกับกับการเมืองระดับพรรคประชาธิปัตย์ เช้าวันนี้นายกรัฐมนตรี จึงเรียกประชุมรัฐมนตรีในส่วนของพรรคเพื่อไทยเข้าหารือที่บ้านพิษณุโลก เพื่อเตรียมพร้อมกับการอภิปรายในวันอาทิตย์นี้ แม้ไม่กังวลกับเสียงในสภา แต่หากรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายชี้แจงไม่ชัดเจนก็ย่อมลดความน่าเชื่อถือต่อรัฐบาลได้ ในช่วงที่ประชาชนจากหลายพื้นที่น้ำท่วม เริ่มลุกขึ้นมาร้องเรียนเป็นจำนวนมาก

หากไล่ดูตัวบุคคลที่จะอภิปรายฯ ครั้งนี้ จะเปิดด้วย “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรค และปิดท้ายด้วย “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ประธานวิปฝ่ายค้าน ขณะที่ ส.ส.ที่จะอภิปรายเที่ยวนี้ วางตัว “วิลาศ จันทรพิทักษ์"อภิปรยการจัดซื้อถุงยังชีพ “นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย” อดีตประธานคณะกรรมการอำนวยการ กำกับติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ในรัฐบาลที่แล้ว ที่จะรู้ระบบระเบียบการทำงานแก้ปัญหาน้ำท่วม รวมไปถึง “นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน” อดีตผู้ว่า กทม. ที่จะได้ใช้ประสบการณ์ในอดีตมาอภิปราย จึงถือเป็นงานหนักที่รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต้องค่อยช่วยเหลือ สนับสนุนข้อมูลแก่พลตำรวจเอกประชา ไม่ใช่การลอยแพเพียงคนเดียว เพราะการบริหารงานของ ศปภ. ก็เหมือนการบริหารงานรัฐบาลเช่นกัน

Produced by VoiceTV
by Watsana

25 พฤศจิกายน 2554 เวลา 21:07 น.

เฉลิม เอาจริง นายทหารกว่า20นาย เข้าให้การคดี91ศพ


เฉลิม เอาจริง นายทหารกว่า20นาย เข้าให้การคดี91ศพ

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เอาจริง นายทหารกว่า 20 นาย ตบเท้าเข้าให้การต่อพนักงานสอบสวน คดี 91 ศพ แล้ว

ความคืบหน้าล่าสุด เกี่ยวกับคดี 91 ศพผู้เสียชีวิตจากเหตุการสลายการชุมนุมเดือนพฤษภาคม ปี 2553 ภายหลังจากที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยไทยรัฐออนไลน์โดยระบุว่าวันนี้ จะมีนายทหารเข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่มเกี่ยวกับข้อมูลต่างๆ ล่าสุด จากการสอบถาม พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า ได้รับรายงานเบื้องต้นแล้วว่าวันนี้ที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน มีนายทหารจำนวนเกือบ 20 คน เดินทางเข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่มเติมในคดีที่เกี่ยวโยงกับการเสียชีวิต 91 ศพช่วงการชุมนุมเดือนพฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมา แล้ว และได้ดำเนินการจนเสร็จสิ้นแล้วด้วย โดยคาดว่ายังเหลือเจ้าหน้าที่ทหารอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ได้เข้าให้การ เนื่องจากการเสียชีวิตในแต่ละรายนั้นมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้เคยออกมาระบุแล้วว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนสรุปสำนวนการชันสูตรพลิกศพส่งให้อัยการไปแล้ว 1 สำนวน และพนักงานสอบสวน เตรียมสรุปสำนวนให้อัยการอีก 2 สำนวน ซึ่งในจำนวนนั้นมีการเสียชีวิตของนักข่าวญี่ปุ่นร่วมอยู่ด้วย ซึ่งจะเร่งรัดคดีนี้ให้มีความคืบหน้า เนื่องจากทางการทูตของประเทศญี่ปุ่นและประเทศอิตาลี ขอร้องให้ช่วยสืบสวนติดตามกรณีนักข่าวเสียชีวิต กรณีนี้จึงไม่ใช่การกลั่นแกล้ง หรือ เอาคืนใคร และยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องการเมือง อีกทั้งทหารก็ออกมาให้การในฐานะพยาน ว่า ได้รับคำสั่งจาก ศอฉ. ให้ปฏิบัติงาน ดังนั้น คนที่ออกคำสั่งจึงต้องรับผิดชอบ

ที่มา.....ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/region/219173

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เรื่องราวดีๆของคนญี่ปุ่นยามภาวะฉุกเฉิน

ก่อนหน้านี้ มวลน้ำมาแรง แต่ตอนนี้ มวลชนกะลังมาแรง
เค้าว่า มวลน้ำ เปนภัยธรรมชาติ ยากที่จะควบคุม
แต่...มวลชน นี่ซิ..เปนภัยที่อยู่ในใจมนุษย์ ไม่ยากที่จะควบคุม ถ้ามีสติและจิตสำนึก
ขอแค่..ให้คนไทย คิดได้แค่ครึงหนึ่ง แบบชาวญี่ปุ่น ก็น่าจะดีขึ้นกว่านี้....
---------------------------------------------------------------------------------------------------
เรื่องราวดีๆของคนญี่ปุ่นยามภาวะฉุกเฉิน

เรื่องที่ดีสะท้อนมุมกลับมาบ้านเราทำให้ได้คิดอะไรหลายๆอย่าง...

เรื่องที่หนึ่ง ข้าพเจ้าได้เห็นเด็กน้อยพูดกับพนักงานรถไฟ “ ขอบคุณค่ะ/ครับ ที่เมื่อวานพยายามอย่างสุดชิวิตทำให้รถไฟเดินรถได้อีกครั้ง ” พนักงานรถไฟร้องไห้ ส่วนข้าพเจ้าร้องไห้ฟูมฟายไปแล้ว (คืนวันที่เกิดแผ่นินไหว รถไฟซึ่งเป็นการคมนาคมหลักของชาวญี่ปุ่นหยุดวิ่ง กว่าจะวิ่งได้ก็หลังเที่ยงคืนไปแล้ว)

เรื่องที่สอง ที่ดิสนีย์แลนด์ คนติดกลับบ้านไม่ได้จำนวนมาก และทางร้านขายของก็ได้เอาขนมมาแจกนักท่องเที่ยว ก็ได้มีนร.ม.ปลายหญิงกลุ่มหนึ่งไปเอามาจำนวนมาก มากเกินพอ แว่บแรกที่ข้าพเจ้ารู้สึกทันทีคือ อะไรวะ เอาไปซะเยอะ ! แต่วินาทีต่อมากลายเป็นความรู้สึกตื้นตันใจ เพราะ เด็กกลุ่มนั้นเอาขนมไปให้เด็กๆ ซึ่งพ่อแม่ไม่สามารถไปเอาเองได้เพราะต้องอยู่ดูแลลูกๆ

เรื่องที่สาม ในซุปเปอร์มาร์ทแห่งหนึ่ง ของตกระเกะระกะเพราะแรงแผ่นดินไหว แต่คนซื้อก็เดินไปช่วยกันเก็บของ แล้วก็หยิบส่วนที่ตนอยากซื้อไปต่อคิวจ่ายเงิน ในรถไฟที่เพิ่งเปิดให้ใช้บริการ และคนที่ตกค้างจำนวนมากกำลังเดินทางกลับ ก็ได้เห็นคนแก่คนหนึ่งลุกให้สตรีมีครรภ์นั่ง คนญี่ปุ่นแม้ในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ ก็ยังมีน้ำใจ มีระเบียบ

เรื่องที่สี่ ในคืนแรกที่เกิดแผ่นดินไหว รถไฟไม่วิ่ง ทำให้คนจำนวนมากต้องเดินกลับบ้านแทนการนั่งรถไฟ ขณะที่ข้าพเจ้าต้องเดินกลับจากมหาวิทยาลัยมายังที่พัก ร้านรวงก็ปิดหมดแล้ว ข้าพเจ้าได้ผ่านร้านขนมปังร้านหนึ่งซึ่งปิดไปแล้ว แต่คุณป้าเจ้าของร้านก็ได้เอาขนมปังมาแจกฟรีแก่คนที่กำลังเดินกลับบ้าน ในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ น้ำใจที่มีให้กันทำให้หัวใจข้าพเจ้าอบอุ่น ตื้นตัน

เรื่องที่ห้า ในขณะที่รอรถไฟให้กลับมาวิ่งได้ ข้าพเจ้าก็ได้รออยู่ในอาคารสถานีอย่างเหน็บหนาว โฮมเลสก็ได้แบ่งปันแผ่นกล่องกระดาษให้ โฮมเลสที่ข้าพเจ้ามองด้วยหางตาทุกวันที่มาใช้สถานี คืนนั้นทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด

เรื่องที่หก (เรื่องราวคืนรถไฟไม่วิ่งเยอะหน่อยนะครับ) ด้วยระยะเวลาสี่ชั่วโมงที่ต้องเดินเท้ากลับบ้าน ก็ได้ผ่านหน้าบ้านหลังหนึ่ง ตาก็ไปสะดุดกับแผ่นกระดาษที่เขียนว่า “ เชิญใช้ห้องน้ำได้ค่ะ ” หญิงสาวท่านหนึ่งได้เปิดบ้านตัวเองให้แก่คนที่กำลังเดินกลับบ้านได้ใช้ วินาทีที่ได้เห็นแผ่นกระดาษนั้น น้ำตามันก็ไหลออกมาเอง น้ำใจคนญี่ปุ่น

เรื่องที่เจ็ด แม้ว่าไฟดับ ก็ยังมีคนที่สู้ทำงานให้ไฟกลับมาติด น้ำไม่ไหลก็ยังมีคนไม่ยอมแพ้ทำให้น้ำกลับมาไหล เกิดปัญหากับโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ก็มีคนที่พร้อมจะเข้าพื้นที่เพื่อซ่อมมัน ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้กลับมาสู่สภาพปกติด้วยตัวมันเอง ขณะที่พวกเราอยู่ในบ้านอันอบอุ่นแล้วก็พร่ำบ่นว่าเมื่อไรไฟมันจะติด น้ำจะไหลน้า ก็มีคนที่อยู่ข้างนอกท่ามกลางความหนาวเหน็บกำลังพยายามสู้อยู่

เรื่องที่แปด ในจังหวัดจิบะ คนลุงคนหนึ่งที่หลบภัยอยู่ก็ได้เปรยออกมาว่า ต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไรน้า เด็กหนุ่มม.ปลายก็ตอบกลับไปว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง ต่อจากนี้ไปเมื่อเป็นผู้ใหญ่ พวกผมจะทำให้มันกลับมาเหมือนเดิมแน่นอน (ไม่เป็นไร พวกเรายังมีอนาคต!!!)

เรื่องที่เก้า ขณะที่กำลังได้รับความช่วยเหลือ หลังจากที่ติดอยู่บนหลังคาบ้านมากว่า 42 ชั่วโมง คุณลุงก็ได้กล่าวว่า “ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรครับ เคยมีประสบการณ์สึนามิที่ชิลีมาแล้ว ต่อจากนี้ไปพวกเรามาช่วยื้นฟูบ้านเมืองกันนะ ” แกกล่าวด้วยรอยยิ้ม (สิ่งสำคัญสำหรับพวกเราคือ ต่อจากนี้ไปเราจะทำอะไรต่างหาก)

ต้องขอขอบพระคุณเจ้าของบทความที่เอาภาพรวมดีๆมาเล่าให้ฟังซึ่งตอนนี้ประเทศไทยก็ประสบปัญหาไม่แพ้ชาติอื่นๆเรื่องสภาพแวดล้อมดังนั้นจึงอยากให้ชาวไทยทุกคนได้ตระหนักถึงการช่วยเหลือ แบ่งปันน้ำใจซึ่งกันและกันให้มากๆเพราะได้ขึ้นชื่อว่าสยามเมืองยิ้มแล้วอย่าให้ชาวโลกเขามองเมืองไทยที่ไม่ดีเลยร่วมใจกันช่วยภาคใต้นะครับ

ดูต่อ...
http://www.dmc.tv/pages/scoop/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%8D%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3.html

2011 10 05@0717 สด เขื่อนภูมิพลปล่อยน้ำ ผอยอมรับสะสมน้ำ พคถึงวันนี้ กว่า...

ทักษิณ in Seoul เกาหลีใต้


ทักษิณโผล่เกาหลีใต้-ดูระบบจัดการแม่น้ำ

ข่าวสดออนไลน์ : เมื่อ 22 พ.ย. สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางถึงประเทศเกาหลีใต้พร้อมผู้ช่วยอีก 3 คน เพื่อเยี่ยมชมโครงการยกระดับการจัดการน้ำในแม่น้ำของเกาหลีใต้ ที่มีมูลค่าโครงการกว่า 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5.7 แสนล้านบาท โดยหวังศึกษาข้อมูลอันเป็นประโยชน์เพื่อนำมาปรับใช้แก้ปัญหาน้ำท่วมของไทยในระยะยาว

พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางเป็นการส่วนตัวและจะอยู่ในเกาหลีใต้จนถึงวันพฤหัสบดีที่ 24 พ.ย. โดยมีหมายเยี่ยมชมสถานที่ตั้งโครงการขุดลอกคูคลอง สร้างเขื่อนกั้นน้ำ และพัฒนาทัศนียภาพของแม่น้ำทั้งสี่สายสำคัญของประเทศ ซึ่งประกอบไปด้วยแม่น้ำฮัน แม่น้ำนักดง แม่น้ำกึม และแม่น้ำยองซาน

“อดีตนายกรัฐมนตรีไทย กล่าวแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาน้ำท่วมไทยที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต จึงอยากเดินทางมาดูโครงการของเราด้วยตาตนเอง เพื่อว่า อาจจะช่วยให้คิดริเริ่มวิธีการแก้ปัญหาใหม่ๆ ได้ ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ มีข้อสงสัยและถามคำถามเยอะมาก” โก ยังซุก เจ้าหน้าที่จากกระทรวงที่ดินเกาหลีใต้ ซึ่งร่วมคณะทัวร์กับพ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว

นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์โชซุน อิลโบ ของเกาหลีใต้ โดยระบุว่า จะนำข้อมูลที่ได้จากโครงการพัฒนาแม่น้ำ 4 สายนี้ รายงานแก่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ไทย และว่า ตนเองเคยผลักดันแผนป้องกันน้ำท่วมและปัญหาแล้งมาแล้วตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ต้องยกเลิกไป เนื่องจากเกิดการรัฐประหารปี 2549 พร้อมระบุ ความเสียหายจากน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้จะเหลือเพียง 1 ใน 5 จากความเสียหายในปัจจุบัน หากโครงการของตนได้ดำเนินการตามแผนที่วางไว้

สำหรับ ‘โครงการบูรณะแม่น้ำสายหลัก 4 สาย’ ของเกาหลีใต้ เป็นโครงการบริหารจัดการกับ แม่น้ำฮัน แม่น้ำนักดง แม่น้ำกึม และแม่น้ำยองซัน จุดมุ่งหมายของโครงการคือปรับปรุงการรักษาความปลอดภัยที่เกิดจากน้ำ การควบคุมน้ำท่วมและผลกระทบทางระบบนิเวศ โครงการนี้ได้รับการประกาศเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาประเทศที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และได้เปิดตัวนโยบายในเดือนม.ค. 2552

ทั้งนี้ ทางรัฐบาลไทยภายใต้การนำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ เคยแสดงความสนใจโครงการบูรณะแม่น้ำสายหลัก 4 สายแห่งนี้มาแล้ว โดยส่ง นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ เดินทางไปร่วมประชุมรัฐมนตรีในกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-เกาหลี ครั้งที่ 1 ที่มีขึ้นระหว่างวันที่ 27-28 ต.ค. ที่ผ่านมา เพื่อเป็นหนึ่งในแนวทางแก้ไขปัญหาอุทกภัยในประเทศไทยในระยะยาวด้วยเช่นกัน

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNeU1UazJOVEF3TUE9PQ%3D%3D§ionid

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

จดหมาย"ทักษิณ"ล่าสุด!จาก"ดูไบ" ว่าด้วย พ.ร.ฎ.อภัยโทษ-ปรองดอง และขอให้อภัยลืมเรื่องเก่า..


ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนว่า ในเฟซบุ๊กของนายนพดล ปัทมะ ในชื่อ Noppadon Pattama ทนายความประจำตระกูลชินวัตร ผู้แทนทางกฎหมายในประเทศไทยของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์รูปภาพ จดหมายซึ่งเขียนด้วยลายมือใส่กระดาษ ที่อ้างว่า เขียนโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยระบุเน้นย้ำอยากให้คนในชาติสามัคคีปรองดอง ฝ่าฟันภัยธรรมชาติน้ำท่วมไปให้ได้ รวมถึงปฏิเสธเรื่องการออกพ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษของรัฐบาลเพื่อตัวเอง โดยมีเนื้อหาดังนี้


ที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิไมเรตส์

20 พฤศจิกายน 2554


พี่น้องไทยที่เคารพรัก


เนื่องด้วยขณะนี้บ้านเมืองอยู่ในภาวะวิกฤตจากปัญหาน้ำท่วม ผมเป็นห่วงและต้องการให้ประเทศและพี่น้องประชาชนผ่านพ้นวิกฤตโดยเร็ว ซึ่งต้องการความสามัคคีปรองดองภายในชาติ จึงจะร่วมกันฟันฝ่าภัยธรรมชาติในครั้งนี้ได้ ผมขอสนับสนุนทุกมาตรการที่จะนำไปสู่ความปรองดองในชาติและไม่อยากเห็นความพยายามใดๆที่จะทำให้บรรยากาศนี้เสียหาย และผมพร้อมที่จะเสียสละความสุขส่วนตัวทั้งๆที่ผมไม่ได้รับความเป็นธรรมมากว่า 5 ปีแล้ว เพื่อพี่น้องประชาชนผมจะอดทน

จากการเสนอพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษประจำปี ซึ่งปีนี้เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงพระเจริญพระชนมายุครบ 84 ปี จึงมีข่าวว่า อาจจะมีผมรวมอยู่ด้วย ผมมั่นใจในหลักการที่ว่ารัฐบาลจะไม่ทำการใดๆที่ให้ประโยชน์แก่ผมหรือบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นการเฉพาะ ยิ่งไปกว่านั้นการกระทำใดๆในช่วงนี้ ต้องเป็นไปเพื่อนำประเทศสู่ความปรองดองและฝ่าฟันวิกฤตจากภัยธรรมชาติน้ำท่วมใหญ่เท่านั้น

อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงพระประชวรอยู่ เราต้องไม่ทำให้พระองค์ทรงหนักพระราชหฤทัยเป็นอันขาด กระผมก็มั่นใจว่า ท่านนายกฯของเรามีแนวคิดและความตั้งใจเช่นเดียวกันกับผม

สำหรับพี่น้องที่สนับสนุนผม ห่วงใยผม ก็ขออย่าได้ผิดหวังเพราะเมื่อแสงแห่งธรรมปรากฎ ทุกอย่างจะจบเอง เพราะบ้านเมืองจะอยู่ในภาวะขัดแย้ง อย่างนี้ตลอดไปไม่ได้

ท้ายนี้ ผมขอเรียกร้องทุกฝ่ายที่รักชาติบ้านเมืองจริง ต้องรู้จักคำว่า "FORGIVE AND FORGET"คือรู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน ลืมเรื่องเก่าๆ เข้าสู่มิติใหม่ของวันพรุ่งนี้เพื่อบ้านเมืองและลูกหลานเราครับ

ด้วยความเคารพรักและคิดถึง

ทักษิณ ชินวัตร

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1321761628&grpid=00&catid&subcatid

http://www.thairath.co.th/content/pol/217861

2011 11 19 นายกยิ่งลักษณ์ ประชุมสุดยอดอาเซียนทวิภาคีจีนสหรัฐ

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ชมภาพชุด "ยิ่งลักษณ์" สปีค อิงลิช กับ "บารัก โอบามา"






ตากล้องหลายสำนักข่าว จับภาพการพบปะทักทายระหว่างบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ณ เวทีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน โดยที่ฝ่ายหลังเพิ่งถูกตั้งข้อสังเกตถึงความสามารถในการ "สปีค อิงลิช" ที่อาจอยู่ในระดับ "สเนกๆ ฟิชๆ" อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากรูปถ่าย ดูเหมือนยิ่งลักษณ์กับโอบามาจะสนทนากันพอรู้เรื่องอยู่ และหลักฐานของการสนทนาหารือดังกล่าว ก็ปรากฏอยู่ในเนื้อข่าวด้านล่างนี้

เมื่อ 19 พ.ย. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พบปะหารือกับนายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในเวทีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่เกาะบาหลี อินโดนีเซีย มีประเด็นเรื่องการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม และเน้นย้ำในเรื่องที่ไทยก้าวสู่ความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

เอเอฟพีรายงานว่า ประธานาธิบดีโอบามากล่าวแสดงความยินดีกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ในชัยชนะของการเลือกตั้งที่เป็น "แรงบันดาลใจ" ส่วนกรณีที่ไทยประสบอุทกภัยร้ายแรงจนมีผู้เสียชีวิตเกือบ 600 รายนั้น ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า "เราจะขยายความช่วยเหลือให้ไทยเท่าที่ทำได้ สหรัฐฯ และไทยเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดในมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่ ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหยื่อในอุทกภัยครั้งนี้"

สำหรับการหารือทวิภาคีระหว่างสหรัฐฯกับไทย นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศของไทย ซึ่งเข้าร่วมด้วยเปิดเผยว่า มีการหารือถึงเรื่องความร่วมมือในการป้องกันอาวุธร้ายแรง ที่จะต้องตรวจค้นและป้องกัน

นอกจากนี้ยังมีเรื่องความร่วมมือเรื่องการศึกษา ซึ่งสหรัฐฯ เสนอที่จะให้ความช่วยเหลือในการส่งคนมาฝึกอบรมด้านภาษาต่างประเทศให้กับประเทศในอาเซียน ซึ่งรวมถึงไทย ขณะเดียวกันยังพูดคุยเรื่องประชาธิปไตยที่สหรัฐฯ สนับสนุน

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1321713102&grpid=03&catid&subcatid

CNN November 19, 2011 Obama declares Asia-Pacific trip a success.
Obama's last appointment Saturday before leaving for Washington was a meeting with Thailand's first woman prime minister, Yingluck Shinawatra.

Obama congratulated Shinawatra on her "inspirational" election win, and offered condolences and assistance to those affected by the flooding in Thailand.

He also described Thailand as one of America's oldest allies and spoke of the two nations' great friendship. When Shinawatra expressed her regret at not having visited the United States, Obama responded by inviting her to Hawaii.

http://edition.cnn.com/2011/11/19/world/asia/thailand-obama/index.html

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ยิ่งลักษณ์ ASEAN Summit 18 11 54



18 พ.ย.54 เวลา 08.30 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน - จีน สมัยพิเศษ และพิธีเปิดศูนย์อาเซียน-จีน ซึ่งประกอบไปด้วย ผู้นำ 10 ชาติอาเซียน และนายเหวิ่น เจีย เป่า นายกรัฐมนตรีจีน
** นายกรัฐมนตรีได้ใช้โอกาสนี้กล่าวสนับสนุนข้อเสนอเกี่ยวกับการปฏิบัติตามปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (Declaration on the Conduct of Parties in the South China Sea: Doc) และแสดงความมั่นใจว่า ความสำเร็จดังกล่าวจะช่วยต่อยอดความร่วมมืออาเซียนกับจีน

** นายกรัฐมนตรีได้เสนอให้จีนพิจารณาตั้งกองทุนพิเศษ (A special fund) ภายใต้กองทุนความร่วมมืออาเซียน-จีน เพื่อให้เขตการค้าเสรีอาเซียน-จีนใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยประเทศไทยได้ยืนยันว่าจะใช้โอกาสนี้ ทำงานร่วมกับจีนเพื่อผลักดันความเชื่อมโยงภายในภูมิภาคตามแนวระเบียงเศรษฐกิจแนวเหนือ-ใต้ (The North - South Economic Corridor) เพื่อพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจ และขีดความสามารถของชุมชนธุรกิจ และหอการค้าในแนวบริเวณดังกล่าว

** ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ ผู้นำอาเซียนทั้ง 10 ชาติ ได้เข้าร่วมพิธีเปิดศูนย์อาเซียน-จีน ซึ่งนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้แสดงความยินดีต่อการเปิดศูนย์อาเซียน-จีนอย่างเป็นทางการ
(ข้อมูลจากเว็ปรัฐบาลไทย / ขอบคุณภาพจาก REUTERS/เว็ปรัฐบาลไทย)










วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

H.E. Mrs. Hillary Rodham Clinton รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

Yingluck Shinawatra

รัฐบาลไทย ยินดีที่จะได้ร่วมงานกับสหรัฐฯอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีและพหุภาคีที่อยู่ในความสนใจร่วมกันในภูมิภาค

และสำหรับ ปัญหาภัยธรรมชาติที่ได้เพิ่มความถี่และทวีความรุนแรงขึ้นทั้งในภูมิภาคนี้และในที่อื่นๆ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเทศสหรัฐ ดได้หารรือถึงการให้ความร่วมมือและสนับสนุนซึ่งกันและกัน ในการบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยใช้ท่าอากาศยานอู่ตะเภาสำหรับการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติ เพื่อให้สามารถจัดส่งหน่วยบรรเทาภัยพิบัติลงพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว กรณีเกิดภัยพิบัติในภูมิภาค การจัดทำแนวทางปฏิบัติงานและการเพิ่มศักยภาพและเตรียมความพร้อมในด้านการบรรเทาภัยพิบัติ ซึ่งไทยยืนยันความพร้อมที่จะให้การสนับสนุนกับสหรัฐฯ ในความร่วมมือที่สำคัญยิ่งนี้




































นายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติและภริยา
เยือนประเทศไทยในฐานะแขกของรัฐบาลไทย
ตามคำเชิญของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

การเดินทางเยือนประเทศไทยของเลขาธิการสหประชาชาติครั้งนี้ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือในสาขาต่างๆ ระหว่างรัฐบาลไทยกับสหประชาชาติ ทั้งยังเป็นโอกาสเพื่อให้เลขาธิการสหประชาชาติได้ทราบถึงสถานการณ์อุทกภัยในประเทศไทย และร่วมกันหารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาจากภัยธรรมชาติ อันเป็นผลมาจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Changes) ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นภัยคุกคามทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก