"เขาเปียกปอนจนถึงถุงเท้า
ท่ามกลางวิกฤติการณ์น้ำท่วม เขาลุยไปทั่วหัวถนน ทุ่มเททั้งตัวและหัวใจ ฉันต้องเตือนตัวเองว่า เขาคือหลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ และ เหลนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หนึ่งในพระมหาราชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย"
นี่คือสิ่งที่เลขานุการของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร พรรณนาถึงนายของเธออย่างภาคภูมิใจในเฟสบุ๊ค......
ภายใต้การบริหารงานของสุขุมพันธุ์ กรุงเทพฯ เปรียบเสมือนเกาะส่วนตัวของตัวเอง เมืองหลวงถูกแยกขาดจากส่วนอื่นของประเทศ ดูเหมือนว่าการที่จังหวัดอื่นๆ ต้องจมอยู่ใต้น้ำต่อไป จะเป็นอะไรที่ยอมรับได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร กรุงเทพฯ จะต้องถูกปกปักรักษาให้แห้งต่อไป แม้จะต้องแลกด้วยการทวีความรุนแรงของวิกฤตน้ำท่วมในระดับประเทศก็ตาม
วิธีการแบบกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางของสุขุมพันธุ์บอกอะไรเราบ้าง? มันเผยให้เห็นว่ากรุงเทพฯ ไม่ใช่ประเทศไทยและในทางกลับกันประเทศไทยก็ไม่ใช่กรุงเทพฯ มันจึงเป็นรัฐซ้อนรัฐ แนวคิดเช่นนี้จึงเป็นอุปสรรคต่อรัฐบาลในการนำแผนการแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างบูรณาการมาปฏิบัติ
นอกจากนี้แล้วแนวคิดของสุขุมพันธุ์ในการจัดการกับปัญหาน้ำท่วมนี้โดยหลักแล้วก็คือมุมมองแบบชนชั้นนำและจักรวรรดินิยม ด้วยคำนำหน้าชื่อว่า หม่อมราชวงศ์ ที่จะฟังดูล้าหลังสำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว สุขุมพันธ์แสดงตัวราวกับว่าเป็นขุนศึกโบราณกำลังทำสงครามเพื่อปกปักรักษาไว้ซึ่งพระนคร แต่ในเวลานี้ข้าศึกมิใช่ชาวพม่าหรือเขมรที่ไหน แต่คือน้ำ อาจจะเปรียบเปรยได้ว่าภารกิจของสุขุมพันธุ์คือการปกป้อง "เอกราช" ของกรุงเทพมหานคร
"เราจะต้องไม่เสียกรุงเป็นครั้งที่สาม" คือคำที่เขาน่าจะประกาศก้อง ครั้งสุดท้ายที่สยามสูญเสียสิ่งที่เรียกว่า "เอกราช" ก็คือในปี พ.ศ.2319 เมื่อกรุงศรีอยุธยาล่มสลายด้วยน้ำมือของอริราชศัตรู.....
อ่านต่อ.....http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1320910737&grpid=01&catid&subcatid
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น