บันทึกของผู้อยู่ในเหตุการณ์เดือนตุลา เช้าวันพุธ
ธงชัย วินิจจะกูล
1“พี่ ๆ ตำรวจครับ กรุณาหยุดยิงเถิดครับ เราชุมนุมกันอย่างสันติ เราไม่มีอาวุธ ตัวแทนของเรากำลังเจรจาอยู่กับรัฐบาล อย่าให้เสียเลือดเนื้อไปมากกว่านี้เลย กรุณาหยุดยิ่งเถิดครับ”
ผมจำได้ว่าตัวเองพร่ำพูดอย่างนี้นับร้อยครั้งในเช้าวันพุธนั้น ผมพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อที่สมองจะได้ไม่ต้องคิด รู้แต่เพียงว่าต้องมีเสียงจากเวทีให้นานที่สุด ไม่ต้องคิดอะไรไปมากกว่านั้น และเอาเข้าจริง ผมก็ไม่สามารถคิดอะไรได้มากกว่านั้น
ดูเหมือนนั่นจะเป็นการกล่าวต่อสาธารณชนครั้งสำคัญที่สุด แต่ไร้ค่าที่สุดในชีวิตผม เป็นคำพูดที่มีความหมายที่สุดเพื่อชีวิตนับพันในธรรมศาสตร์ แต่กลับไร้ความหมายมากที่สุด เพราะไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นสักนิด บางคนเห็นว่าสิ่งที่ผมทำเป็นความกล้าหาญ ในขณะที่บางคนข้องใจว่าไม่เห็นผมทำอะไรสักอย่าง
ผมหนีความทรงจำของตัวเองต่อเหตุการณ์เช้าวันนั้นไปไม่พ้น
จนถึงวันนี้ ความทรงจำและความรู้สึกขัดแย้งกันเองข้างต้น ยังคงเวียนมาหาผมอยู่เรื่อย ๆ
ที่แน่ ๆ ก็คือ ผมไม่รู้สึกกล้าหาญเลยตลอดเช้าวันนั้น ผมกลัว กลัวมาก ๆ ด้วย สติเท่านั้นที่ช่วยรั้งผมให้อยู่ตรงนั้น ผมกลัวจนคิดวิตกไปต่าง ๆ นานา
ในที่สุดผมก็พูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ เพื่อสกัดไม่ให้ตัวเองคิด จะได้ไม่ต้องกลัวไปมากกว่านั้น
2
เราถูกก่อกวนด้วยอาวุธเบาหรือระเบิดทำเองตั้งแต่กลางดึก แต่ผู้ชุมนุมซึ่งผ่านการถูกก่อกวนทำร้ายมาหลายครั้ง กลายเป็นกลุ่มคนที่ขวัญไม่กระเจิงง่าย ๆ และพร้อมจะตอบสนองเสียงจากเวทีที่พยายามลดความสับสนอลหม่านทุกครั้งที่มีเสียงปืนหรือระเบิดดังมาจากทางหอประชุมใหญ่ ทุกคนพร้อมใจที่จะหมอบสงบนิ่ง ไม่มีการวิ่งพล่าน คนบนเวทีทำหน้าที่เพียงปลุกขวัญกำลังใจและเป็นตัวเชื่อมแต่ละชีวิตที่กระจายอยู่ตามสนามและส่วนต่าง ๆ ของธรรมศาสตร์ บางทีสิ่งที่พูดไปอาจจะไม่สำคัญเท่ากับเสียงที่ยังคงดังอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเสียงคนหรือดนตรี
ดึกอย่างนั้นและถูกก่อกวนอย่างนั้น เราสามคน (คือตัวผม พี่ชายผม ชวลิต วินิจจะกูล ซึ่งเพื่อน ๆ เรียกว่า หง่าว และสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล) ซึ่งรับผิดชอบดูแลเวทีการชุมนุมอยู่ ไม่คิดจะปล่อยไมโครโฟนให้ใครอีก ยกเว้นวงกรรมาชนซึ่งคุ้นเคยกับสถานการณ์แบบนี้ดี
อ่านต่อ....... http://www.2519.net/autopage/show_page.php?t=3&s_id=49&d_id=50
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น